ตั้งแต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โลกถูกเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็น “โลกใบใหม่” หรือที่เรียกกันว่า New Normal วิถีชีวิตแบบใหม่ที่ค่อยๆ แทรกเข้ามาในชีวิตของเราทุกคน จนกลายเป็นความเคยชินเช่น การสั่งอาหารผ่าน Delivery, การสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ในตลาด E-Commerce, หรือแม้แต่การทำงาน Work From Home ที่เป็นรูปแบบการทำงานระยะไกล ที่หลายองค์กรปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบนี้มากขึ้น
เมื่อไม่นานมานี้ มีปรากฏการณ์ The Great Resignation หรือ Big Quit เรียกได้ว่า อภิมหาการลาออก เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแล้วที่อเมริกา ช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2021 กลุ่มพนักงานลาออกถึง 4 ล้านชีวิต ซึ่งเป็นการลาออกครั้งใหญ่ จากการสำรวจในกลุ่มคน 1,000 คน 39% บอกว่า ยอมลาออกถ้าหากต้องทำงานแบบเข้าออฟฟิศ ถ้าหากองค์กรไม่มีการให้ทำงานข้างนอกได้ และตัวเลขมีโอกาสจะเพิ่มขึ้นสูงขึ้นเกือบ 50% ถ้าหากโฟกัสกลุ่มชาวมิลเลนเนียลหรือ Gen Z ที่กำลังเป็นกำลังคนในการขับเคลื่อนตลาดแรงงาน (manpower) และในประเทศไทย หากสถานการณ์ โควิด-19 มีแนวโน้มดีขึ้น อาจจะเกิดปรากฏการณ์แบบต่างประเทศก็ได้
อะไรที่ทำให้ The Great Resignation เกิดขึ้น?
จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา การทำงานแบบ Work From Home เป็นสิ่งแรกในการสมัครที่คนมองหามากขึ้น เนื่องจากการทำงานที่บ้านที่ผ่านมา ทำให้ผู้คนมองเห็นและคิดอะไรบางอย่างกับเป้าหมายตัวเอง มีความต้องการในเรื่องต่างๆ มากขึ้น เช่น เงินที่มากขึ้น ความยืดหยุ่นในการทำงานที่มากขึ้น หรือ ความสุขที่มากขึ้น คนส่วนใหญ่ค้นพบความหมายบางอย่างในชีวิต เขาได้เวลากลับมา ได้ความสุขกลับคืนมา ไม่ต้องเสียเวลากับรถติด มีเวลาเพิ่มมากขึ้นที่จะอยู่กับครอบครัว ทำงานอดิเรก ทำสิ่งที่รักและความฝันมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจออกมาว่า 51% ของคนที่ทำงานไกล กลัวเจ้านายไม่เชื่อว่าเขาสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ 40% ทำงานหนักขึ้น และ 37% ไม่ได้ทานข้าวกลางวัน และผลกระทบนี้ทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า BurnOut กลุ่มคนรุ่นใหม่เป็นกันมากขึ้น เนื่องจากรู้สึกว่าการทำงานแบบเดิม ไม่ตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนไป และในประเทศไทย เป็นกันมากขึ้น
เกิดอะไรขึ้นกับพนักงานจากการทำงาน Work From Home บ้าง?
ผลสำรวจว่าการทำงานที่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศดีกว่าอย่างไร? มีความน่าสนใจมากเพราะ 84% ที่บอกว่าการไม่ต้องเดินทางทำให้ประหยัดเวลาและลดความเครียดจากรถติด ซึ่งปัญญานี้ในกรุงเทพเป็นกันเยอะ, 75% บอกว่าประหยัดเรื่องค่าใช้จ่าย เช่น ในเรื่องของการเดินทาง, 32% กลัวการติดโควิดจากการเดินทางสาธารณะ, 26% อยู่ใกล้ครอบครัวและสัตว์เลี้ยง การทำให้ที่บ้านทำให้ผู้คนตระหนักคิดกับเป้าหมายชีวิตตัวเองกับการทำงาน มีเวลามากขึ้นจากการไม่ต้องเร่งรีบไปทำงาน และเสียเวลาไปกับรถติด ได้ใช้เวลาที่เหลือเหล่านี้ไปกับสิ่งที่รัก งานอดิเรก และอยู่กับครอบครัว และ 15% บอกว่าได้มีเวลาอยู่กับลูกๆ มากขึ้น ทำให้มีความสุขในชีวิตเพิ่มมากขึ้น เมื่อจะต้องกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ 5 วันเหมือนเดิม จึงเกิดการต่อต้าน
3 กลยุทธ์ อนาคตในการทำงานต้องเปลี่ยนไป หัวหน้าจะรักษาพนักงานไว้ได้อย่างไร?
- ให้ความสำคัญกับ Passion และเรื่องความตั้งใจ Prioritize Passion & Purpose
การให้ความสำคัญกับสิ่งที่พนักงานต้องการมากกว่าเรื่องเงิน ในปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาพูดแล้วว่า ต้องทำงานอย่างไร? แต่ปัจจุบัน เรากำลังบอกว่า Why we work? คือหน้าที่ของผู้นำที่จะดึงดูดคนที่มีความสามารถไว้ให้ได้ พร้อมกับตอบความต้องการของพนักงานให้ได้มากที่สุด เช่น ถามพนักงงานว่าทำไมคุณถึงรักงานนี้ ทำไมถึงอยากมาทำงานที่นี้ หน้าที่ของผู้นำคือช่วยเขาค้นหา Passion ในการทำงาน
- ลดการทำงานที่มากออกไป Banish Busy Work
ผู้นำควรใช้เทคโนโลยีต่างๆ ลดภาระในการทำงานที่ไม่จำเป็นออกไป เช่น งานเอกสาร งานลงทะเบียนต่างๆ เพื่อให้ทีมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ให้พนักงานมีส่วนร่วมในการเป็น OwnerShip ในการทำงานจริง ๆ หรือความยืดหยุ่นในการทำงานที่สามารถจัดการเวลาทำได้ และความต้องการไปข้างหน้าของมนุษย์มาจาก Passion ที่ได้ทำงานบนเส้นทางความฝันของตัวเอง
- หมดเวลาของการทำงานแบบตอกบัตร Screw the 9-to-5
พนักงานมากกว่า 60% ต้องการจัดตารางการทำงานเป็นของตัวเอง หากมีใครมาบังคับเวลาในการทำงาน ความคิดสร้างสรรค์จะไม่ออก ยืดหยุ่นและออกแบบชีวิตตัวเองได้ แต่ก็ยังคงรักษาวินัยในการทำงานเรื่องการส่งงานที่ตรงเวลา ถึงเวลาของผู้นำที่จะต้องทิ้งการทำงานที่ต้องเลิกงาน 9 โมงเช้า เลิกงาน 5 โมงเย็น และเข้าออฟฟิศทุกวัน
แต่ในที่นี้ไม่ได้บอกว่าการทำงานรูปแบบเดิมหรือรูปแบบใหม่ดีกว่ากัน แต่การทำงานในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ และไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ต้องปรับตัวตามสิ่งที่เกิดขึ้น และแต่ละองค์กร หรือบางงาน ก็มีความจำเป็นต้องเข้าออฟฟิศ การเข้าออฟฟิศก็ยังคงมีความสำคัญ ในทุกองค์กร มีการทำงานในรูปแบบของตัวเอง
Vinarco บริษัทจัดหาทรัพยากรบุคคล Manpower Contractor Agency อันดับ 1 ของไทย มีการยกย่องให้เป็นตัวแทนจัดหางานชั้นนําในกรุงเทพฯ และ ประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Oil and gas jobs in thailand) และได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีความเชี่ยวชาญในการมอบความสําเร็จระยะยาวให้กับองค์กรในตลาด
Vinarco เป็น Manpower Contractor Agency ที่จัดหาโซลูชันด้านการจัดหาทรัพยากรบุคคลที่มียืดหยุ่นและมีความน่าเชื่อถือ ให้บริการด้วยความใส่ใจในการเลือกผู้ที่เหมาะสมที่สุด สําหรับงานของลูกค้า มีบริการสนับสนุนหลังการคัดเลือกผู้สมัครสําเร็จ ด้านสิ่งแวดล้อมพหุวัฒนธรรมและความหลากหลายของภาษา (ไทย ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน) เพื่อประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า
เพราะเราเข้าใจว่า พนักงาน คือทรัพยากรที่มีคุณค่ามากที่สุดสำหรับองค์กร หัวใจหลัก เป็นเรื่องของกำลังคน (Manpower) ในการขับเคลื่อนองค์กร ฝ่ายทรัพยากรบุคคลมีหน้าที่จัดหาทรัพยากรบุคคลที่มีทักษะสูงสุด เพราะการมีกำลังคน (Manpower) ที่มีคุณภาพจะเป็นขุมพลังสําคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้ประสบความสําเร็จ และก้าวไปข้างหน้าอย่างไร้ขีดจํากัด คัดสรรทรัพยากรบุคคลที่มีทักษะสูงสุดกับ Vinarco